เมื่อวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2568 นายเรืองเดช มังกรเดชสกุล ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมการขนส่งทางราง เป็นประธานเปิดกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการศึกษาการกำหนดอัตราขั้นสูงและหลักเกณฑ์การทบทวนอัตราค่าขนส่ง ค่าใช้ประโยชน์จากราง และค่าบริการในการประกอบกิจการขนส่งทางราง ณ ห้องประชุมสุคนธา โรงแรมเซ็นทารา หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ การรถไฟแห่งประเทศไทย ภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการเอกชนในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561–2580) ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับการบริการและประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะการใช้ระบบขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำ มีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้นในการประชุมครั้งนี้จึงได้จัดให้มีการนำเสนอแนวทางการกำหนดอัตราขั้นสูง หลักเกณฑ์ในการทบทวนอัตราค่าบริการต่าง ๆ ตลอดจนมาตรการส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางราง พร้อมทั้งเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยคาดหวังให้ความคิดเห็นที่ได้จากทุกภาคส่วนในวันนี้จะทำให้ผลการศึกษาของโครงการฯ สมบูรณ์ ครบถ้วน และสามารถนำไปใช้ได้จริง
นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางรางได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานีรถไฟบางกล่ำ อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา เพื่อสำรวจสภาพพื้นที่และศักยภาพในการพัฒนา ลานกองเก็บตู้สินค้า (Container Yard – CY) บริเวณสถานีดังกล่าว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภาคใต้ที่มีศักยภาพในการเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์ระหว่างทางรางและทางถนน โดยบริเวณสถานีรถไฟบางกล่ำมีรางรถไฟจำนวน 3 ทาง ประกอบด้วย ทางประธาน 1 ทาง และทางหลีก 2 ทาง ที่ใช้สำหรับการสับเปลี่ยนรถจักรและการจัดขบวนรถสินค้า โดยพื้นที่ CY ปัจจุบันเป็นลานหินคลุกขนานไปกับรางรถไฟ ความยาวประมาณ 200 เมตร สามารถรองรับการเข้ารับตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต ได้สูงสุดครั้งละ 10 แคร่บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) ซึ่งจำเป็นต้องทำการสับเปลี่ยนแคร่ 2 ครั้งในการจัดขบวนรถสินค้า
ซึ่งขณะนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการเสนอโครงการพัฒนาพื้นที่ CY บางกล่ำให้มีความยาวขยายออกไปตามแนวรางถึง 1 กิโลเมตร ซึ่งสามารถรองรับขบวนรถสินค้าได้พร้อมกันถึง 2 ขบวน เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งทางรางปัจจุบัน มีบริษัทเอกชน 2 รายที่ดำเนินการยกขนตู้สินค้าในบริเวณ CY แห่งนี้ เพื่อส่งออกไปทางด่านปาดังเบซาร์
นอกจากนี้ พื้นที่ CY บางกล่ำยังมีจุดเด่นด้านการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม เนื่องจากอยู่ห่างจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (AH2) ซึ่งเป็นเส้นทางหลักของจังหวัดสงขลาเพียง 6 กิโลเมตร จึงมีความเหมาะสมในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการขนส่งและกระจายสินค้าทางรางในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย CY ที่สถานีรถไฟบางกล่ำ จึงเป็นหนึ่งในสถานีที่ความเหมาะสมในทางกายภาพในการทำหน้าที่เป็นจุดถ่ายโอนสินค้าระหว่างระบบถนนและระบบราง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และตำแหน่งของสถานีบางกล่ำตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภาคใต้ ที่มีความเชื่อมโยงกับนิคมอุตสาหกรรมและแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหารทะเลในระดับจังหวัดและภูมิภาค โดยเฉพาะ ยางพาราแท่ง อาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋อง รวมถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรอื่น ๆ ซึ่งมีศักยภาพในการส่งออก
การสำรวจภาคสนามในครั้งนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการจัดการตู้สินค้า ความพร้อมของระบบโลจิสติกส์ภายในสถานี และข้อจำกัดเชิงปฏิบัติที่อาจส่งผลต่อการขยายการใช้บริการในอนาคต โดยข้อมูลที่ได้จะนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนที่เหมาะสมกับบทบาทของสถานีบางกล่ำในฐานะจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าเพื่อการค้าภายในประเทศและการส่งออกในภูมิภาค
พร้อมกันนี้ ได้มีการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ (ฝั่งไทย) อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ (ฝั่งมาเลเซีย) รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย เพื่อศึกษาแนวทางการขนส่งสินค้าผ่านตู้คอนเทนเนอร์ทางรถไฟจากประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียโดยใช้รถแคร่บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) โดยเฉพาะกระบวนการตรวจปล่อยขบวนรถ และการเดินรถไฟข้ามแดนอย่างไร้รอยต่อในพื้นที่ปฏิบัติงานร่วมกันภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) ซึ่งปัจจุบันสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ (ฝั่งมาเลเซีย) ได้อยู่ในพื้นที่ของประเทศมาเลเซีย ห่างจากชายแดนฝั่งไทยราว 200เมตร และมีเส้นทางรถไฟจากฝั่งประเทศมาเลเซียเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงจากชายแดนถึงสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ (ฝั่งไทย) มีลักษณะเป็นทางเดี่ยว ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร โดยทางรถไฟช่วงดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของการรถไฟมาเลเซีย (Keretapi Tanah Melayu Berhad – KTMB) ทั้งในด้านการก่อสร้างและการบำรุงรักษา ที่สถานีรถไฟปาดังเบซาร์ (ฝั่งมาเลเซีย) ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงระบบรางระหว่างสองประเทศ มีระบบจุดตรวจร่วมชายแดน ซึ่งภายในสถานีมีสำนักงานของเจ้าหน้าที่ไทยจากการรถไฟแห่งประเทศไทยและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำการอยู่ร่วมกับเจ้าหน้าที่มาเลเซีย เพื่อร่วมกันอำนวยความสะดวกในการผ่านแดนของทั้งสินค้าและผู้โดยสาร การขนส่งสินค้าทางรางที่สถานีดังกล่าวมีศักยภาพสูงในการขนส่งสินค้าได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถหรือถ่ายโอนสินค้า ซึ่งช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่ง โดยสินค้าหลักที่มีการขนส่งหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางพารา
นอกจากนี้ คณะได้เยี่ยมชมพื้นที่จุดตรวจเอ็กซเรย์ตู้สินค้า ซึ่งตั้งอยู่บริเวณประตูป้อมที่ 2 ของด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ ที่บริเวณนี้เป็นจุดเอ็กซเรย์ตู้สินค้าผ่านทางรถบรรทุกที่มีรถบรรทุกส่งออกตู้คอนเทนเนอร์ไปยังประเทศมาเลเซียประมาณวันละ 200-300 ตู้ โดยสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นไม้ยางพารา และแผ่นยิปซัมบอร์ด ในบริเวณนี้จะเป็นจุดที่ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือบกปะลิส (Perlis Inland Port – PIP) ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียมีแผนพัฒนาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งใหม่ เพื่อเสริมขีดความสามารถในการขนส่งทางรางและบรรเทาความแออัดในบริเวณชายแดน กรมการขนส่งทางรางให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐาน การเดินรถไร้รอยต่อ และการอำนวยความสะดวกในกระบวนการศุลกากร เพื่อผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรางของภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน
และทางเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางรางยังได้ลงพื้นที่สถานีรถไฟคลองแงะ ตำบลพังลา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เพื่อพิจารณาพื้นที่และความเป็นไปได้ในการพัฒนาศักยภาพของสถานีและบริเวณโดยรอบเนื่องจากจากสถานีรถไฟคลองแงะ เป็นสถานีระหว่างสถานีหาดใหญ่ และสถานีปาดังเบซาร์(ฝั่งไทย) ปัจจุบันรางรถไฟบริเวณนี้มีสภาพเป็นรางประธาน 1 รางและรางหลีกความยาว 500 เมตร1 ราง แม้ปัจจุบันยังไม่มีการพัฒนาเป็นลานกองเก็บตู้สินค้า (CY) และยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการถ่ายโอนสินค้าทางราง การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบ สภาพพื้นที่โดยรอบ และโครงสร้างทางรถไฟในปัจจุบัน เพื่อประเมินศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต ตลอดจนเพื่อตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาในการตรวจสอบตู้สินค้าทางรถไฟในพิธีการศุลกากรหากมีความจำเป็นต้องเปิดตรวจตู้สินค้า จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่ที่มีความสะดวก ปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
หน่วยงานที่ประกาศ
กลุ่มประชาสัมพันธ์