“สุรพงษ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมสานต่อมาตรการลดค่าโดยสาร เพื่อลดภาระค่าครองชีพในการเดินทางของประชาชน และเพิ่มปริมาณผู้โดยสารเข้าระบบขนส่งทางรางในเมือง พร้อมทั้งลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการเปิดเดินรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม – หัวหิน ณ จังหวัดราชบุรี

วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2566) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ผู้บริหาร และผู้แทนหน่วยงานในสังกัตกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ฯ เพื่อทดสอบการใช้บัตร EMV Contactless ที่สถานีบางซ่อนซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อในโครงข่ายการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนทางราง ระหว่างรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) กับรถไฟฟ้าสายสีม่วง

นายสุรพงษ์ฯ กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมได้มีนโยบายในการลดภาระค่าครองชีพการเดินทางเพื่อความอุดมสุขของประชาชนในด้านคมนาคม ตลอดจนการเพิ่มปริมาณผู้ใช้บริการในระบบขนส่งทางราง โดยถือเป็นนโยบาย “Quick Win” ที่ต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งที่ผ่านได้มีการนำร่องใช้นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หรือปรับลดจากอัตราค่าโดยสารปัจจุบัน เริ่มต้น 14 บาท สูงสุดไม่เกิน 42 บาท เหลืออัตราค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 20 บาท ใน 2 โครงการ คือ 1.โครงการรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ และ 2.โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต (สายธานีรัถยา) และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน (สายนครวิถี) ซึ่งส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และการใช้บัตร EMV Contactless (บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต) จะช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถชำระค่าโดยสารร่วม 2 สาย สูงสุดไม่เกิน 20 บาท ในการเดินทางด้วยบัตรเพียงใบเดียวทั้งนี้ เมื่อใช้บัตร EMV Contactless เดินทางข้ามระบบ จะถูกหักเงินในบัตรก่อนสายละ 20 บาท รวมเป็น 40 บาท และทางธนาคารจะดำเนินการ Cash Back กลับเข้าบัตรให้ภายใน 3 วัน

นายสุรพงษ์ฯ กล่าวต่อว่า การเปิดให้บริการใช้บัตร EMV Contactless ถือเป็นอีกทางเลือกในการเดินทางโดยประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางพร้อมประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาการเดินทางเชื่อมต่อในอนาคต เพื่อให้เป็นคมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ประสานร่วมกับหน่วยงานผู้ให้บริการรถไฟฟ้าในเมืองในการหาแนวทางกำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า และหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบขนส่งทางรางได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมโดยมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางจากการใช้รถยนต์มาเป็นการเดินทางด้วยระบบขนส่งทางราง และช่วยลดมลพิษทางอากาศและบรรเทาปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในเขตเมือง อีกทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนต่อไป

จากนั้น นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้าการเปิดเดินรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม – หัวหิน ณ จังหวัดราชบุรี โดยแนวเส้นทางโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ที่ผ่านบริเวณจังหวัดราชบุรี มีแลนด์มาร์กสำคัญ คือ สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลองที่ใช้คานขึงแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งเดิมออกแบบเป็นสะพานเหล็กที่มีเสาตอม่อ 2 ต้นอยู่ในแม่น้ำแม่กลอง ต่อมาพบว่ามีระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จมอยู่ในแม่น้ำแม่กลอง 7 ลูก จึงได้ปรับรูปแบบเป็นสะพานคานขึง (Extradosed Bridge) ก่อสร้างคู่ขนานกับสะพานจุฬาลงกรณ์ และสะพานธนะรัชต์ ความยาวรวมกว่า 340 เมตร ปัจจุบันได้เปิดใช้สะพานในการเดินรถแล้ว โดยขบวนรถสินค้า 986 สุไหงโกลก – กรุงเทพฯ เป็นรถไฟขบวนแรกที่เดินรถข้ามสะพานคานขึง เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566
นายสุรพงษ์ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันงานก่อสร้างทางรถไฟมีความคืบหน้าเกือบ 100% คงเหลือการเก็บรายละเอียดงานสถานีเล็กน้อย รวมทั้งงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ โดยในระยะแรก (ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป) รฟท. จะเริ่มการเดินรถไฟทางคู่ (แบบไม่มีระบบอาณัติสัญญาณเต็มระบบ)
ช่วงสถานีบ้านคูบัว – สถานีสะพลี ระยะทางกว่า 348 กิโลเมตร รวมถึงใช้ประกาศกำหนดเวลาเดินรถใหม่

ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 11 – 14 ธันวาคม 2566 รฟท. จะมีการทดลองเดินรถโดยวิธีทางคู่ชั่วคราว และงดการจัดขบวนหลีก เพื่อให้การเดินรถเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัยก่อนการเปิดให้บริการประชาชนและในระยะที่ 2 ช่วงนครปฐม – บ้านคูบัว และ ช่วงสะพลี – ชุมพร (ช่วงที่เหลือ) รวมระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร รฟท. คาดว่าจะสามารถทยอยเปิดเดินรถไฟทางคู่ได้ภายในช่วงกลางปี 2567 พร้อมทั้งได้รับฟังปัญหาของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ เพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่แนวเส้นทางโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ ที่ผ่านบริเวณจังหวัดราชบุรี

สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม – ชุมพร เป็นการก่อสร้างทางวิ่งรถไฟใหม่เพิ่ม 1 ทาง ขนานไปกับทางรถไฟเดิม โดยเป็นโครงสร้างทางรถไฟระดับพื้นดินทั้งหมด มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 420 กิโลเมตร แบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 นครปฐม – หัวหิน ระยะทาง 169 กิโลเมตร ช่วงที่ 2 หัวหิน – ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กิโลเมตร และช่วงที่ 3 ประจวบคีรีขันธ์ – ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร และอีกจุดไฮไลท์สำคัญของการก่อสร้างโครงการนี้คือ สถานีรถไฟหัวหินใหม่ ที่ปัจจุบันสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และ รฟท. จะย้ายไปใช้สถานีหัวหินใหม่ในวันที่ 11 ธันวาคม 2566 และจะปรับให้สถานีหัวหินเดิมไปเป็นสถานีอนุรักษ์ ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปถ่ายรูปเล่นได้ ทั้งนี้ เมื่อเส้นทางสายใต้เปิดเดินรถไฟทางคู่ตลอดเส้นทาง จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง ลดระยะเวลาในการเดินทาง เช่น จากเดิมเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงหัวหิน ใช้เวลาประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง จะลดลงเหลือเพียง 3 ชั่วโมง รวมถึงลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิต จนเกิดเป็นคมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน

หน่วยงานที่ประกาศ

กลุ่มประชาสัมพันธ์

เรื่องอื่นๆในหมวดหมู่ข่าวประชาสัมพันธ์

Skip to content